Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
Por que é importante compreender custos fixos e custos variáveis na gestão de negócios
ในการดำเนินธุรกิจ การจัดการต้นทุนเป็นงานหลักที่นักธุรกิจต้องเน้นสำคัญ โดยเฉพาะการแยกความแตกต่างระหว่าง ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) กับ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) การแยกแยะนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเอกสารทางบัญชีเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดราคา วางแผนการผลิต และประเมินจุดคุ้มทุน ที่จะพาธุรกิจไปยังความสำเร็จในระยะยาว
ต้นทุนคงที่คือการลงทุนระยะยาวที่ต้องรับไม่ว่าผลิตขายมากน้อยเพียงใด
ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) หมายถึงค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องชำระอย่างต่อเนื่องไม่ว่าผลิตสินค้าจำนวนเท่าใดก็ตาม ไม่ว่าธุรกิจจะดำเนินการในระดับสูงหรือต่ำ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ยังคงเหมือนเดิม นี่คือความแตกต่างที่สำคัญ เพราะ ต้นทุนคงที่หมายถึง ภาระทางการเงินที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในอดีต ไม่ใช่ตัดสินใจปัจจุบัน
ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น ค่าเช่าโรงแรม เงินเดือนผู้บริหาร ค่าประกันธุรกิจ ดอกเบี้ยเงินกู้ หรือค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ การชำระค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงที่ยอดขายตกต่ำก็ตาม
สาเหตุที่ต้องทำความเข้าใจต้นทุนคงที่
การเข้าใจต้นทุนคงที่นั้นสำคัญเพราะมันมีผลต่อการตัดสินใจเรื่องราคา ถ้าธุรกิจกำหนดราคาต่ำเกินไป และยอดขายน้อย ก็อาจไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนคงที่ได้ การคำนวณที่ถูกต้องจึงเป็นตัวชี้วัดว่าธุรกิจต้องขายสินค้าจำนวนเท่าใด เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนคงที่นี้ได้
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ต้นทุนคงที่ยังช่วยในการตัดสินใจเรื่องการลงทุน เมื่อบริษัทต้องการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ (ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนคงที่) ต้องประเมินว่าการลงทุนนี้จะสร้างรายได้เพิ่มเติมให้ธุรกิจได้หรือไม่
ต้นทุนผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามอัตราการผลิตและการขาย
ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) เป็นค่าใช้จ่ายที่ขึ้นอยู่กับการผลิตและการขายโดยตรง ยิ่งผลิตหรือขายได้มาก ค่าใช้จ่ายนี้ก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อยอดขายหรือการผลิตลดลง ต้นทุนผันแปรก็จะลดลงไปด้วย
ประเภทของต้นทุนผันแปร ได้แก่ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ค่าแรงงานโดยตรง ค่าพลังงานและน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิต ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าขนส่งและการจัดส่ง รวมถึงค่าคอมมิชชันการขาย
เหตุผลที่ต้นทุนผันแปรมีความสำคัญ
ความยืดหยุ่นของต้นทุนผันแปรคือจุดแข็งที่ทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้ตามความต้องการของตลาด ถ้าตลาดต้องการปริมาณมาก ธุรกิจสามารถเพิ่มการผลิตได้ โดยรู้ว่าต้นทุนผันแปรจะเพิ่มตามสัดส่วน ในทางตรงกันข้าม เมื่อตลาดมีการปรับตัว ธุรกิจสามารถลดการผลิตและต้นทุนผันแปรลงไปด้วย
เปรียบเทียบต้นทุนคงที่กับต้นทุนผันแปร
การวิเคราะห์ต้นทุนรวมเพื่อการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
การรวมต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปรให้ได้ต้นทุนรวมนั้นจำเป็นสำหรับการตัดสินใจหลายอย่าง เช่น การกำหนดราคาที่เหมาะสม การวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด และการประเมินว่าต้องขายเท่าใดจึงจะไม่ขาดทุน
เมื่อบริษัทรู้ต้นทุนรวม สามารถคำนวณจุดคุ้มทุน (Break-Even Point) ได้ นั่นคือจำนวนสินค้าที่ต้องขายเพื่อให้รายได้เท่ากับต้นทุนรวม จากจุดนี้ไป ทุกการขายเพิ่มเติมถึงจะเป็นกำไร
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ต้นทุนผสม ยังช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจว่าควรลงทุนในเครื่องจักรใหม่เพื่อลดต้นทุนผันแปรหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากค่าแรงงานตรงสูง อาจควรลงทุนในอุปกรณ์อัตโนมัติเพื่อแลกกับต้นทุนคงที่ที่มั่นคงกว่า
การประยุกต์ใช้จริงในการกำหนดราคา
ต้นทุนคงที่หมายถึง ฐานรายได้ขั้นต่ำที่ธุรกิจต้องมีเพื่อดำรงอยู่ได้ เมื่อรู้จำนวนนี้ สามารถกำหนดราคาสินค้าที่ครอบคลุมทั้งต้นทุนคงที่ที่แบ่งเท่า ๆ กันในแต่ละหน่วย และต้นทุนผันแปรต่อหน่วย พร้อมเพิ่มส่วนกำไร
ตัวอย่าง หากต้นทุนคงที่รายเดือนคือ 100,000 บาท และคาดว่าจะขาย 1,000 หน่วย ต้นทุนคงที่ต่อหน่วยคือ 100 บาท ถ้าต้นทุนผันแปรต่อหน่วยคือ 150 บาท ต้นทุนรวมต่อหน่วยจะเป็น 250 บาท ราคาขายที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 300-400 บาท ขึ้นอยู่กับกำไรเป้าหมาย
สรุป
การแยกแยะและเข้าใจถึง ต้นทุนคงที่ และ ต้นทุนผันแปร นั้นเป็นพื้นฐานของการบริหารธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ความรู้นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจเรื่องราคา การลงทุน และการวางแผนการผลิตได้อย่างสมเหตุสมผล ธุรกิจที่สามารถบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีโอกาสมากขึ้นที่จะพอดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในตลาดที่มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น