Ця сторінка може містити контент третіх осіб, який надається виключно в інформаційних цілях (не в якості запевнень/гарантій) і не повинен розглядатися як схвалення його поглядів компанією Gate, а також як фінансова або професійна консультація. Див. Застереження для отримання детальної інформації.
Блокчейн: технологія майбутнього, яка змінить цифровий світ
เทคโนโลїยบล็อกเชนเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 สำหรับวงการการเงินดิจิทัล นักลงทุนและผู้ใช้งานทั่วโลกต่างให้ความสนใจอย่างมากต่อเทคโนโลยีที่ปฏิวัติระบบการทำธุรกรรม บทความนี้จะชี้แจงแนวคิดหลักและการกำหนดค่าเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงพลังของมันและวิธีการนำมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง
บล็อกเชนคือระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ปฏิวัติหลักการทำธุรกรรม
ในความเป็นจริง บล็อกเชนไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่อย่างสมบูรณ์ แต่เป็นการผสมผสานของเทคโนโลยีเข้ารหัส ระบบเครือข่ายกระจายศูนย์ และกลไกการยืนยันข้อมูล เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อมูลและมูลค่าได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้กลางใดๆ เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงิน แนวคิดของบล็อกเชนคือการเรียงลำดับข้อมูลเป็นบล็อค แล้วเชื่อมบล็อกเหล่านั้นเข้าด้วยกันในสายโซ่ยาวๆ ที่มีการจัดเก็บ และป้องกันการแก้ไขอย่างเข้มงวด
องค์ประกอบของ blockchain ประกอบด้วยบล็อกที่บรรจุข้อมูล รหัสแสดงตัวบล็อก และการเชื่อมโยงระหว่างบล็อกผ่านรหัสคุณสมบัติเฉพาะ ระบบดังกล่าวทำให้การแก้ไขข้อมูลเพียงจุดเดียวมีผลกระทบต่อห่วงโซ่ทั้งหมด ซึ่งสร้างความยากลำบากต่อการปลอมแปลง
กลไกการเงิน: วิธีการรักษาความปลอดภัยแบบสามชั้น
เพื่อให้เข้าใจว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมั่นคงเพียงใด ลองพิจารณากลไกการป้องกันสามประการ ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบที่เกือบจะแทบไม่สามารถทำลายได้
ระบบการเข้ารหัสแฮช: ลายนิ้วมือดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกัน
บล็อกแต่ละชิ้นมีตัวระบุเฉพาะตัวเรียกว่าแฮชค่า ซึ่งเกิดจากการประมวลผลข้อมูลภายในบล็อกด้วยฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์เชิงเข้ารหัส หากข้อมูลเปลี่ยนแปลงแม้เพียงจุดเดียว ค่าแฮชก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น ลองดูตัวอย่างการทำธุรกรรมบิทคอยน์:
โครงสร้างดังกล่าวสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ห่วงโซ่” ที่บ้านบ้านสมาชิกแต่ละคนในเครือข่ายมีสำเนาเดียวกัน หากใครพยายามแก้ไขธุรกรรมที่ 1 ค่าแฮชจะเปลี่ยนไป ซึ่งจะเบี่ยงเบนการเชื่อมต่อของธุรกรรมที่ 2 และ 3 ไปด้วย ทำให้การปลอมแปลงเป็นไปไม่ได้
ระบบการยืนยันโดยความเห็นชอบ: กฎเสียงส่วนใหญ่
นอกเหนือจากการเข้ารหัสแล้ว บล็อกเชนยังใช้กลไกที่เรียกว่า “ฉันทามติ” เพื่อให้ความเห็นชอบต่อบล็อกใหม่ สำหรับบิทคอยน์ ระบบที่ใช้คือ Proof-of-Work ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน และสร้างบล็อกใหม่
หากอยากจะโจมตีระบบบิทคอยน์ โจมตีที่ต้องเปลี่ยนแปลงบล็อกทั้งสายจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงบล็อกปัจจุบัน ด้วยจำนวนบล็อกที่มีหลายหมื่นหลายแสนบล็อก การที่ต้องคำนวณซ้ำและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ทั้งหมดนั้นต้องใช้พลังประมวลผลที่มหาศาล จึงกลายเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
เครือข่ายระหว่างอัฒจันทร์: พลังของการกระจายอำนาจ
กลไกสุดท้ายคือเครือข่าย Peer-to-Peer ซึ่งเป็นการกระจายข้อมูลไปยังทุกผู้ใช้ที่เข้าร่วมเครือข่าย เมื่อบล็อกใหม่ถูกสร้างขึ้น มันจะถูกส่งไปยังปมทั้งหมด (Nodes) ซึ่งเป็นผู้ใช้ที่เข้าร่วมเครือข่าย ปมเหล่านี้จะตรวจสอบความถูกต้องและประเมินผลโดยเปรียบเทียบกับสำเนาที่ตนเองเก็บไว้
ความต้องการควบคุมเครือข่ายบล็อกเชนหมายถึงการควบคุมปมส่วนใหญ่ ในกรณีของบิทคอยน์ หากต้องการควบคุมระบบต้องควบคุมปมมากกว่า 51% พร้อมทั้งติดตามการทำงานและแย่งชิงอำนาจการตัดสินใจไปได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยปมทั้งหมดที่กระจายไปทั่วโลก และมีจำนวนมากมายมหาศาล การควบคุมเรื่องดังกล่าวแทบเป็นไปไม่ได้เลย
การแบ่งประเภทบล็อกเชน: เลือกประเภทที่เหมาะกับความต้องการ
บล็อกเชนไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว มีหลายรูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน
บล็อกเชนแบบเปิด: โปร่งใสแต่บ่อยครั้งช้า
บล็อกเชนประเภทนี้อนุญาตให้ใครก็ได้เข้าร่วม ตรวจสอบธุรกรรม และมีส่วนในการตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น บิทคอยน์ อีเธอเรียม และโซลานา ประเด็นด้านบวกคือความโปร่งใสสูงและความปลอดภัยจากการควบคุมจากส่วนกลาง แต่ข้อด้านลบคือแม้ว่าความเร็วอาจจะช้า บ่อยครั้งก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการรองรับจำนวนธุรกรรมที่มากขึ้น
บล็อกเชนแบบปิด: ลับแต่มีประสิทธิภาพ
รูปแบบนี้อนุญาตให้เฉพาะสมาชิกที่ได้รับการอนุมัติเท่านั้นเข้าร่วม โดยควบคุมโดยบุคคลหรือองค์กรเดียว ตัวอย่างเช่น Hyperledger Fabric จุดแข็งคือความเร็วและประสิทธิภาพสูง แต่ข้อเสียคือลักษณะความเป็นส่วนตัวของประเภทนี้อาจทำให้เกิดการควบคุมจากส่วนกลาง
บล็อกเชนแบบผสมผสาน: สมดุลระหว่างสองชั่ว
ประเภทนี้รวมคุณลักษณะของบล็อกเชนทั้งแบบเปิดและแบบปิด องค์กรสามารถควบคุมข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้ ในขณะเดียวกันก็อนุญาตให้มีความโปร่งใสในบางส่วน ตัวอย่างเช่น XinFin และแพลตฟอร์ม IBM Blockchain
บล็อกเชนแบบคณะนำ: ความร่วมมือระหว่างองค์กร
ประเภทนี้ควบคุมโดยกลุ่มองค์กรที่ร่วมมือกัน บล็อกเชนดังกล่าวช่วยกระจายความเสี่ยง และสร้างความเชื่อถือในเครือข่าย ตัวอย่างเช่น Corda ของ R3 แม้ว่าจะมีข้อได้เปรียบ แต่การประสานงานระหว่างองค์กรอาจมีความซับซ้อน
จุดแข็งที่ยั่งยืน และจุดอ่อนที่ยังต้องแก้ไข
จุดแข็งของบล็อกเชน
ระดับความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อข้อมูลถูกเข้ารหัสและเก็บในบล็อก จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ลบ หรือแก้ไขได้อีกต่อไป ระบบนี้ปกป้องข้อมูลได้ดีกว่าวิธีการจัดเก็บแบบเดิมมาก
ความโปร่งใสและความสามารถในการตรวจสอบ เนื่องจากไม่มีสถาบันใด ๆ ที่มีอำนาจสูงสุด ระบบบล็อกเชนจึงมีความโปร่งใส และทุกคนสามารถตรวจสอบข้อมูลได้
การลดต้นทุนและค่าธรรมเนียม ด้วยการไม่มีตัวกลาง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้กลางแต่อย่างใด เหลือเพียงต้นทุนธุรกรรมบนแพลตฟอร์มเท่านั้น
ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ ระบบบล็อกเชนสามารถตรวจสอบข้อมูลไปถึงเบื้องต้นและช่วยให้สร้างสำเนาตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ
ประสิทธิภาพและความรวดเร็ว การประมวลผลข้อมูลแบบอัตโนมัติช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์และปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล
จุดอ่อนที่ยังคงเป็นปัญหา
ขีดจำกัดของการรองรับการขยายตัว ระบบบล็อกเชนปัจจุบันยังบ่อยครั้งต่อสู้กับปัญหาการรองรับธุรกรรมจำนวนมากพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ปัญหานี้อาจแก้ไขได้ในเร็ววัน
ความเสี่ยงทางทฤษฎี ในทางทฤษฎี ถ้าใครสามารถควบคุมปมมากกว่า 51% ก็จะสามารถควบคุมระบบได้ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว เรื่องนี้เป็นไปได้ยากมากจนแทบไม่มีโอกาสเลย
การใช้พลังงานจำนวนมาก กระบวนการเข้ารหัสและการประมวลผล โดยเฉพาะ Proof-of-Work ต้องใช้พลังงานสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ขาดการควบคุมทางกฎหมาย บล็อกเชนยังไม่ได้รับการตรวจสอบและควบคุมอย่างจริงจังจากหน่วยงานราชการหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนเรื่องสถานะทางกฎหมาย
การประยุกต์ใช้บล็อกเชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
การเงิน: ประยุกต์ใช้ที่กว้างขวาง
บริษัทการเงินต่าง ๆ ได้นำบล็อกเชนมาใช้ในระบบการชำระบัญชี ถ่ายโอนเงิน และสกุลเงินดิจิทัล ธนาคารกลางแห่งประเทศไทยได้เริ่มโครงการ Inthanon เพื่อพัฒนาบาทดิจิทัลโดยใช้บล็อกเชน จำหน่ายแนวโน้มว่าจะแทนที่ระบบ PromptPay ในการโอนเงินระหว่างธนาคารในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทอีคอมเมิร์ซยังใช้บล็อกเชนจัดเก็บข้อมูลลูกค้าและคะแนนเครดิต
ห่วงโซ่อุปทาน: ความโปร่งใสและการติดตาม
บล็อกเชนช่วยให้ผู้บริโภคสามารถติดตามที่มาของสินค้าได้ บริษัท IBM ได้สร้างระบบ Food Trust Blockchain ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคติดตามย้อนกลับถึงแหล่งเก็บเกี่ยวของอาหาร ระบบนี้ยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและต่อสู้ปลอมแปลง โดยการจัดการสินค้าจากแหล่งที่มาไปถึงผู้บริโภคด้วยบล็อกเชน
ระบบการลงคะแนนและการตัดสินใจ: ป้องกันการโกง
บล็อกเชนช่วยสร้างระบบการลงคะแนนที่มีความยุติธรรมและโปร่งใส เนื่องจากเป็นไปได้ยากที่จะโกงการลงคะแนน หรือเปลี่ยนแปลงผลการลงคะแนนเมื่อถูกบันทึกในบล็อกเชน ระบบนี้ยังช่วยลดต้นทุนการตรวจสอบที่ต้องใช้จำนวนมากคนตรวจสอบ
สรุป
บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการข้อมูลและการทำธุรกรรม เนื่องจากคุณลักษณะของมันในการให้ความปลอดภัย ความโปร่งใส และการกระจายอำนาจ ปัจจุบันการประยุกต์ใช้บล็อกเชนก้าวหน้าไปในหลายอุตสาหกรรม แม้ว่าบล็อกเชนยังคงมีจุดอ่อน เช่น ปัญหาการรองรับการขยายตัวและการใช้พลังงาน แต่เทคโนโลยีดังกล่าวก็ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง หากต้องการเข้าใจสกุลเงินดิจิทัลและการลงทุนในตลาดคริปโตฯ ความเข้าใจเกี่ยวกับบล็อกเชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง